บทที่ 3 มาตรฐานและเทคโนโลยีของระบบเครือข่าย (Network Topology and Standard)
โทโปโลยี (Topology)
โทโปโลยีระบบเครือข่าย
สถาปัตยกรรมการเชื่อมต่อของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มีหลายแบบ
สามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและประหยัดค่าใช้จ่าย
รวมทั้งวางแผนระบบเครือข่ายในอนาคต
โดยส่วนใหญ่คอมพิวเตอร์ภายในองค์กรใหญ่จะติดต่อสื่อสารผ่านระบบ LAN (Local
Area Network) โดยมี backbone เป็นส่วนประกอบหลัก
เป็นจุดที่จะทำการสื่อสารภายในองค์กรผ่าน backbone เทคโนโลยี LAN
มีหลายประเภท เช่น Ethernet, Token Ring, FDDI และ Wireless LAN เป็นต้น
แต่นิยมกันมากที่สุดในปัจจุบันคือ อีเธอร์เน็ต (Ethernet)
ซึ่งอีเธอร์เน็ตเองยังจำแนกออกได้หลายประเภทย่อย ขึ้นอยู่กับความเร็ว
โทโปโลยี (Topology) และสายสัญญาณที่ใช้ เทคโนโลยี LAN
แต่ละประเภทมีทั้งหัวข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน
การเลือกใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ควรให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานเครือข่ายของ
องค์กร โทโปโลยีของเครือข่ายอาจจะมีผลต่อสมรรถนะของเครือข่ายได้
การเลือกโทโปโลยีอาจมีผลต่อประเภทของอุปกรณ์ที่ใช้ในเครือข่าย ดังนี้
- สมรรถนะของอุปกรณ์เหล่านั้น
- ความสามารถในการขยายของเครือข่าย
- วิธีการดูแลและจัดการเครือข่าย การรู้จักและเข้าใจโทโปโลยีประเภทต่าง ๆ
โทโปโลยีแต่ละประเภทมีดังต่อไปนี้
- โทโปโลยีแบบบัส (Bus Topology)
- โทโปโลยีแบบวงแหวน (Ring Topology)
- โทโปโลยีแบบดาว (Star Topology)
- โทโปโลยีแบบเมซ (Mesh Topology)
องค์กรในการจัดการมาตรฐาน (Standard Organization)
การกำหนดมาตรฐานของการสื่อสารข้อมูลนั้น
นับว่ามีความจำเป็นอย่างมากสำหรับระบบเครือข่ายที่มี
องค์ประกอบของอุปกรณ์ต่างๆ หลากหลายผู้ผลิต
ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดเหล่านั้นจะต้องทำงานเข้ากันได้อย่างราบรื่น
การกำหนดมาตรฐานต่างๆ
นั้นจะเริ่มตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐานของฮาร์ดแวร์ระบบเครือข่าย
ได้แก่ ระบบสายเคเบิล อุปกรณ์ในการส่งสัญญาณข้อมูล ตลอดจนถึง
เครื่องเซิร์ฟเวอร์ และซอฟต์แวร์ในการสื่อสารบนระบบเครือข่าย
เพื่อเป็นการรับประกันว่าส่วนประกอบต่างๆ
จะสามารถทำงานร่วมกันได้
ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ระบบเครือข่าย
จะต้องทำตามคำแนะนำตามมาตรฐานการออกแบบและสร้างผลิตภัณฑ์
ซึ่งกำหนดขึ้นโดย องค์กรมาตรฐานสากล (International Organization
for Standardization - ISO)
โดยมาตรฐานที่กำหนดขึ้นและได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี คศ.1984
เรียกว่า Open Systems Interconnection Reference Model
เรียกสั้นๆ ว่า OSI Reference Model หรือ
ISO/OSI
Model
แบบจำลอง OSI
OSI Reference Model
เป็นการกำหนดชุดของคุณลักษณะเฉพาะที่ใช้อธิบายโครงสร้างของระบบเครือข่าย
โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์หรือซอฟต์แวร์ใดๆ
ใช้เป็นโครงสร้างอ้างอิงในการสร้างอุปกรณ์ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างดีบนระบบเครือข่าย
โดยมีการจัดแบ่งเลเยอร์ของ OSI ออกเป็น 7 เลเยอร์
แต่ละเลเยอร์จะมีการโต้ตอบหรือรับส่งข้อมูลกับเลเยอร์ที่อยู่ข้างเคียงเท่านั้น
โดยเลเยอร์ที่อยู่ชั้นล่างจะกำหนดลักษณะของอินเตอร์เฟซ
เพื่อให้บริการกับเลเยอร์ที่อยู่เหนือขึ้นไปตามลำดับขั้น
เริ่มตั้งแต่ส่วนล่างสุดซึ่งเป็นการจัดการลักษณะทางกายภาพของฮาร์ดแวร์และการส่งกระแสของข้อมูลในระดับบิต
ไปสิ้นสุดที่แอพพลิเคชั่นเลเยอร์ในส่วนบนสุด
รูปที่ 1 OSI Reference Model
หลักการออกแบบเลเยอร์
| แต่ละเลเยอร์จะมีการกำหนดการทำงานอย่างละเอียดโดยมีการทำงานเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกัน |
| ฟังก์ชันภายในเลเยอร์จะพยายามมุ่งไปสู่ข้อกำหนดมาตรฐาน
(standard protocol) |
| ขอบเขตของเลเยอร์จะถูกเลือกและจำกัดให้มีปริมาณการเชื่อมต่อระหว่างเลเยอร์ให้น้อยที่สุด |
| จำนวนของเลเยอร์ต้องมากพอที่จะแยกฟังก์ชั่นที่จำเป็นและแตกต่างกันไม่ให้อยู่ในเลเยอร์เดียวกัน
|
การทำงานของ OSI Reference
Model
การที่แพ็กเก็ตข้อมูลเดินทางจากเครื่องคอมพิวเตอร์
A ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ B นั้น
มีกระบวนการทำงานดังนี้
รูปที่ 2 การส่งแพ็กเก็ตใน OSI
Reference
จากแผนผัง คอมพิวเตอร์
A และคอมพิวเตอร์ B มีโครงสร้างเป็น OSI ซึ่งมี 7 เลเยอร์
เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ A
พร้อมที่จะส่งสัญญาณข้อมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ B นั้น
แต่ละเลเยอร์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ A
จะเสมือนกับว่ามีการสื่อสารกับเลเยอร์ในระดับเดียวกันบนเครื่องคอมพิวเตอร์
B ถึงแม้ว่าจะไม่มีการสื่อสารระหว่าง
เลเยอร์เหล่านี้เกิดขึ้นจริง แต่เลเยอร์ในระดับต่างๆ
บนเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งคู่นั้นจะทำตามกฎเกณฑ์หรือโปรโตคอล
(protocol) อย่างเดียวกัน
เพื่อให้มั่นใจได้ว่าแต่ละเลเยอร์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ฝ่ายผู้รับจะได้รับแพ็กเก็ตข้อมูล
แบบเดียวกันกับแพ็กเก็ตข้อมูลที่รวบรวม
โดยแต่ละเลเยอร์บนเครื่องคอมพิวเตอร์ฝ่ายผู้ส่ง
โดยแพ็กเก็ตข้อมูลจะเริ่มที่ระดับสูงสุดคือ Application Layer
บนเครื่องคอมพิวเตอร์ A
และเคลื่อนลงมาทีละระดับชั้นจนมาถึงชั้นล่างสุดคือ Physical
Layer
การที่แพ็กเก็ตเคลื่อนผ่านจากระดับหนึ่งไปยังระดับถัดไปนั้น
จะมีการกำหนดที่อยู่ การจัดรูปแบบของข้อมูลและอื่นๆ
ซึ่งแต่ละเลเยอร์จะเป็นตัวจัดการและมีกระบวนการของตนเอง
เมื่อแพ็กเก็ตเคลื่อนตัวลงมาถึง Physical Layer
ก็จะถูกแปลงให้เป็นกระแสข้อมูลแบบอนุกรมและส่งผ่านสื่อกลางคือสายสัญญาณ
ซึ่งเป็นเลเยอร์เดียวที่เครื่องคอมพิวเตอร์ A
สือสารกับเครื่องคอมพิวเตอร์ B
และเมื่อสัญญาณข้อมูลมาถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ B
กระบวนการก็จะเริ่มทำในทางตรงข้าม คือจะทำการแยกแพ็กเก็ตออกผ่าน
OSI ทั้ง 7 เลเยอร์ ส่งย้อนกลับขึ้นไปยัง Application Layer
ของเครื่องคอมพิวเตอร์ B
เมื่อแพ็กเก็ตเดินทางผ่านเลเยอร์ระดับต่างๆ แต่ละเลเยอร์จะแยก
ข้อมูลข่าวสารตามกำหนดที่อยู่ และการจัดรูปแบบของแพ็กเก็ต
จนเมื่อมาถึงเลเยอร์ระดับสูงสุดคือ Application Layer
ก็จะเหลือเฉพาะข้อมูลที่เหมือนกับบน Application Layer
ของเครื่องคอมพิวเตอร์ A
|
เลเยอร์ 2: Data Link
Layer
เลเยอร์นี้มีจุดประสงค์หลักคือพยายามควบคุมการส่งข้อมูลให้เสมือนกับว่าไม่มีความผิดพลาดเกิดขึ้น
เพื่อให้เลเยอร์สูงขึ้นไปสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างถูกต้อง
วิธีการคือฝ่ายผู้ส่งจะทำการแตกข้อมูลออกเป็นเฟรมข้อมูล
(data-frame) โดยจะต้องมีการกำหนดขอบเขตของเฟรม (frame boundary)
โดยการเติมบิทเข้าไปยังจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของเฟรม
จากนั้นทำการส่งเฟรมข้อมูลออกไปทีละชุดและรอรับการตอบรับ
(acknowledge frame) จากผู้รับ ถ้าหากมีการสูญหายของเฟรมข้อมูล
ซึ่งอาจเนื่องมาจากสัญญาณรบกวนจากภายนอกหรือข้อผิดพลาดอื่นๆ
ในกรณีนี้ฝ่ายผู้ส่งจะต้องส่งเฟรมข้อมูลเดิมออกมาใหม่
เลเยอร์ 3: Network
Layer
เป็น
เลเยอร์ที่ทำหน้าที่หลักเกี่ยวข้องกับการหาเส้นทาง
(routing) ในการส่งแพคเก็ตจากต้นทางไปยังปลายทาง
ซึ่งจะมีการสลับช่องทางในการส่งข้อมูลหรือที่เรียกว่า
แพ็กเกตสวิตชิ่ง (packet switching)
มีการสร้างวงจรเสมือน
(virtual circuit)
ซึ่งคล้ายกับว่ามีเส้นทางเชื่อมโยงกันระหว่างคอมพิวเตอร์
2
เครื่องให้ติดต่อสื่อสารถึงกันได้โดยตรง
การกำหนดเส้นทางการส่งข้อมูลนั้น
คอมพิวเตอร์ฝ่ายผู้ส่งอาจทำหน้าที่พิจารณาหาเส้นทางที่เหมาะสมในการส่ง
ข้อมูล
ตั้งแต่ต้น หรืออาจใช้วิธีแบบไดนามิกส์ (dynamic)
คือแต่ละแพคเก็ตสามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางได้ตลอดเวลา
นอกจากนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ฝ่ายผู้ส่งยังมีหน้าที่ในการจัดการเรื่องที่
อยู่ของเครือข่ายปลายทางโดยจะมีการแปลงที่อยู่แบบตรรกะ
(logical address) ให้เป็นที่อยู่แบบกายภาพ (physical
address)
ซึ่งถูกกำหนดโดยการ์ดเชื่อมต่อระบบเครือข่าย
เลเยอร์ 4: Transport
Layer
Transport Layer
ทำหน้าที่เสมือนบริษัทขนส่งที่รับผิดชอบการจัดส่งข้อมูลโดยปราศจากความผิดพลาด
ซึ่งมีหน้าที่หลักคือ
การตรวจสอบและแก้ไขความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในข้อมูล
คอยแยกแยะและจัดระเบียบของแพ็กเก็ต
ข้อมูลให้จัดเรียงลำดับอย่างถูกต้อง และมีขนาดที่เหมาะสม
นอกจากนี้ยังทำการผนวกข้อมูลทั้งหลายให้อยู่ในรูปของ
วงจรเดียวหรือเรียกว่าการมัลติเพล็กซ์ (multiplex)
และมีกลไกสำหรับควบคุมการไหลของข้อมูลให้มีความสม่ำเสมอ
เลเยอร์ 5: Session
Layer
จากเลเยอร์ที่ผ่านมาจะเห็นว่าการทำงานต่างๆ
จะเกี่ยวพันอยู่เฉพาะกับบิตและข้อมูลเท่านั้น
โดยไม่ได้สนใจเกี่ยวกับสถานะภาพการใช้งานจริงของผู้ใช้แต่อย่างใด
ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นที่ Session Layer
ในเลเยอร์นี้จะมีการให้บริการสำหรับการใช้งานเครื่องที่อยู่ห่างไกลออกไป
(remote login) การถ่ายโอนไฟล์ระหว่างเครื่อง
โดยจะมีการจัดตั้งการสื่อสารระหว่าง 2 ฝ่าย เรียกว่า Application
Entities หรือ AE ซึ่งเทียบได้กับบุคคล 2
คนที่ต้องการสนทนากันทางโทรศัพท์ โดย Session Layer
จะมีหน้าที่จัดการให้การสนทนาเป็นไปอย่างราบรื่น โดยการเฝ้า
ตรวจสอบการไหลของข้อมูลอย่างเป็นจังหวะ
ดูแลเรื่องความปลอดภัยเช่น ตรวจสอบอายุการใช้งานของรหัสผ่าน
จำกัดช่วงระเวลาในการติดต่อ
ควบคุมการถ่ายเทข้อมูลรวมถึงการกู้ข้อมูลที่เสียหายอันเกิดมาจากเครือข่ายทำงานผิดปกติ
นอกจากนี้ยังสามารถตรวจดูการใช้งานของระบบและจัดทำบัญชีรายงานช่วงเวลาการใช้งานของผู้ใช้ได้
เลเยอร์ 6: Presentation
Layer
หน้าที่หลักคือการแปลงรหัสข้อมูลที่ส่งระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
2 เครื่องให้เป็นอักขระแบบเดียวกัน
เครื่องคอมพิเตอร์ส่วนใหญ่จะใช้รหัส ASCII (American Standard
Code for Information Interchange)
แต่ในบางกรณีเครื่องที่ใช้รหัส ASCII
อาจจะต้องสื่อสารกับเครื่องเมนเฟรมของ IBM ที่ใช้รหัส EBCDIC
(Extended Binary Coded Decimal Interchange Code) ดังนั้น
Presentation Layer
จะทำหน้าที่แปลงรหัสเหล่านี้ให้เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจได้ตรงกัน
นอกจากนี้ยังสามารถทำการลดขนาดของข้อมูล (data compression)
เพื่อเป็นการประหยัดเวลาในการรับส่ง
และสามารถเข้ารหัสเพื่อเป็นการป้องกันการโจรกรรมข้อมูลได้อีกด้วย
เลเยอร์ 7: Application
Layer
เป็นเลเยอร์บนสุดที่ทำงานไกล้ชิดกับผู้ใช้
การทำงานของเลเยอร์นี้จะเกี่ยวข้องกับโปรโตคอลต่างๆ มากมาย
ซึ่งจะมีการใช้งานที่เฉพาะตัวแตกต่างกันออกไป
มีบริการทางด้านโปรแกรมประยุกต์ต่างๆ ได้แก่ email, file
transfer, remote job entry, directory services
นอกจากนี้ยังมีการจัดเตรียมฟังก์ชั่นในการเข้าถึงไฟล์และเครื่องพิมพ์
ซึ่งเป็นการแบ่งปันการใช้ทรัพยากรบนระบบเครื่อข่าย
แบบจำลอง TCP/IP
TCP/IP Model
มีแนวคิดพื้นฐานแตกต่างจาก OSI Model
คือไม่ได้มีพื้นฐานของการสื่อสารแบบการสนทนา TCP/IP Model
เป็นภาพแสดงถึงโลกของระบบเครื่อข่ายสากล (Internetworking)
ที่ทำการเคลื่อนย้ายและกำหนดเส้นทางให้กับข้อมูลระหว่างเครือข่ายและระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างๆ
เมื่อเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างทั้ง 2 โมเดล
จะพบว่ามีบางเลเยอร์ที่มีการกำหนดคุณสมบัติที่เทียบได้ไกล้เคียงกัน
แต่บางเลเยอร์ก็ไม่สามารถเทียบหาความสัมพันธ์กันได้เลย
รูปที่ 3 เลเยอร์ต่างๆ ใน
TCP/IP และ ISO/OSI Model
|
Network Access Layer
ประกอบด้วยโปรโตคอลที่ใช้ในการจัดส่งเฟรมข้อมูล
โดยจะพิจารณาว่าจะมีการส่งเฟรมข้อมูลไปบนระบบเครือข่ายทางกายภาพอย่างไร
ซึ่งจะใช้การกำหนดที่อยู่อย่างถาวรให้กับการ์ดเชื่อมต่อระบบเครือข่าย
Internetwork
Layer
เลเยอร์นี้จะไม่สามารถเทียบได้กับ OSI
Model
เนื่องจากเป็นส่วนที่ประกอบด้วยโปรโตคอลที่ทำหน้าที่กำหนดเส้นทางให้กับข้อมูลจากผู้ส่งไปยังผู้รับ
เป็นกระบวนการส่งแพ็กเก็ตข้อมูลผ่านสื่อกลางของระบบเครือข่าย
โดยแพ็กเก็ตข้อมูลจะถูกเรียกเป็น Datagram
ซึ่งหมายถึงเป็นแพ็กเก็ตข้อมูลที่มีข่าวสารในส่วนหัว (Header)
และส่วนท้าย (Trailer) ประกอบอยู่ด้วย
และยังรวมถึงการใช้เราเตอร์และเกตเวย์ในการส่ง Datagram
ไปมาระหว่างโหนดต่างๆ ด้วย
Transport
layer
จะทำหน้าที่เช่นเดียวกับใน
OSI Reference Model
คือมีหน้าที่สร้างความน่าเชื่อถือในการจัดส่ง Datagram
และช่วยในการสื่อสารระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์
โดยจัดตั้งการเชื่อมต่อหรือสร้างวงจรเสมื่อน (Virtual Circuit)
ซึ่งจะคล้ายกับการสนทนาใน OSI Model โดยเริ่มด้วยคำสังในการเปิด
และสิ้นสุดด้วยคำสังปิด สำหรับในโลกของ TCP/IP นั้น
แพ็กเก็ตข้อมูลจะถูกกำหนดเส้นทางการส่งจากแหล่งกำเนิดไปยังปลายทางผ่านเส้นทางที่ดีที่สุดในขณะนั้น
ซึ่งการแลกเปลี่ยนข้อมูลลักษณะนี้เรียกว่า
Connectionless
Application
Layer
เลเยอร์นี้สามารถเทียบได้กับ
Application Layer และ Presentation Layer ใน OSI Model
โดยจะบรรจุโปรโตคอลหลายแบบที่ทำให้แอบพลิเคชั่นสามารถเข้าถึงระบบเครือข่ายและบริการบนระบบเครือข่ายได้
องค์กรที่มีบทบาทต่อการกำหนดมาตรฐาน
เนื่องจากหน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดมาตรฐาน มีบทบาทสำคัญสำหรับการพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่าย
เราจึงพบชื่อย่อของหน่วยงานต่างๆ
ที่ทำหน้าที่กำหนดมาตรฐานในเอกสารหรือ บทความทางเทคนิคบ่อยๆ
ในส่วนต่อไปนี้ จะอธิบายเกี่ยวกับองค์กรกำหนดมาตรฐาน
ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับระบบ
เครือข่ายและเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ANSI
ANSI (American National Standards
Institute) เป็นองค์กรอาสาสมัครที่ไม่มีผลกำไรจากการ ดำเนินงาน
ประกอบด้วยกลุ่มนักธุรกิจและกลุ่มอุตสาหกรรมในประเทศสหรัฐอเมริกา
ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1918 มี สำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ค ANSI
ทำหน้าที่พัฒนามาตรฐานต่างๆ
ของอเมริการให้เหมาะสมจากนั้นจะรับรองขึ้นไปเป็นมาตรฐานสากล ANSI
ยังเป็นตัวแทนของอเมริกาในองค์กรมาตรฐานสากล ISO (International
Organization for Standardization) และ IEC (International
Electrotechnical Commission) ANSI
เป็นที่รู้จักในการเสนอภาษาการเขียนโปรแกรม ได้แก่ ANSI C
และยังกำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีระบบเครือข่ายอีกหลายแบบ
เช่นระบบเครือข่ายความเร็วสูงที่ใช้เคเบิลใยแก้วนำแสง SONET
เป็นต้น
IEEE
IEEE (Institute of
Electrical and Electronics Engineers)
เป็นสมาคมผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1884
ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีสมาชิกจากประเทศต่างๆ
ทั่วโลกประมาณ 150 ประเทศ IEEE มุ่งสนใจทางด้านไฟฟ้า
อิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรม และวิทยาการคอมพิวเตอร์
มีชื่อเสียงอย่างมากในการกำหนด คุณลักษณะเฉพาะต่างๆ
ของระบบเครือข่าย เกณฑ์การจัดตั้งเครือข่ายต่างๆ
ถูกกำหนดเป็นกลุ่มย่อยของคุณลักษณะเฉพาะมาตรฐาน 802
ตัวอย่างที่รู้จักกันดีได้แก่ IEEE802.3
ซึ่งกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของระบบเครือข่าย Ethernet IEEE802.4
กำหนดคุณลักษณะเฉพาะของระบบเครือข่ายแบบ Token-Bus และ IEEE802.5
ซึ่งกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของระบบเครือข่ายแบบ Token-Ring
เป็นต้น
ISO
ISO (International Standard
Organization หรือInternational Organization for
Standardization)
เป็นองค์กรที่รวบรวมองค์กรมาตรฐานจากประเทศต่างๆ 130 ประเทศ ISO
เป็นภาษากรีกหมายถึงความเท่าเทียมกัน หรือความเป็นมาตรฐาน
(Standardization) ISO ไม่ใช่องค์กรของรัฐ
มีจุดมุ่งหมายในการส่งเสริมให้มีมาตรฐานสากล
ซึ่งไม่เพียงแต่ในเรื่องที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและการสื่อสาร
แต่ยังรวมไปถึงการค้า การพาณิชย์ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
สำหรับในส่วนของระบบเครือข่ายนั้น ISO
เป็นผู้กำหนดมาตรฐานโครงสร้าง 7 เลเยอร์ของ ISO/OSI Reference
Model นั่นเอง
IETF
IEFT (Internet Engineering
Task Force)
เป็นกลุ่มผู้ให้ความสนใจเรื่องระบบเครือข่ายและการเติบโตของเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
การเป็นสมาชิกของ IETF นั้นเปิดกว้าง
โดยองค์กรนี้มีการแบ่งคณะทำงานออกเป็นหลายกลุ่ม
ซึ่งแต่ละกลุ่มมุ่งสนใจเฉพาะในเรื่อง ต่างๆ กัน เช่น
การกำหนดเส้นทางการส่งข้อมูล ระบบรักษาความปลอดภัย
และระบบการออกอากาศข้อมูล (Broadcasting) เป็นต้น นอกจากนี้ IETF
ยังเป็นองค์กรที่พัฒนาและจัดทำ คุณสมบัติเฉพาะที่เรียกว่า RFC
(Requests for Comment) สำหรับมาตรฐานของ TCP/IP
ที่ใช้บนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตอีกด้วย
EIA
EIA (Electronics Industries
Association)
เป็นองค์กรกำหนดมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ด้านฮาร์ดแวร์
อุปกรณ์ทางด้านโทรคมนาคม และการสื่อสารของเครื่องคอมพิวเตอร์
ตัวอย่างเช่นคุณลักษณะในการเชื่อมต่อผ่าน RS-232
เป็นต้น
W3C
W3C (World Wide Web
Consortium) ก่อตั้งในปี ค.ศ.1994
โดยมีเครือข่ายหลักอยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น
โดยมีภารกิจหลักในการส่งเสริมและพัฒนามาตรฐานของเว็บ
ข้อเสนอที่ได้รับการพิจารณาและรับรองโดย W3C
จะเป็นมาตรฐานในการออกแบบการแสดงผลเว็บเพจ เช่น Cascading, XML,
HTML เป็นต้น
สถาปัตยกรรมเครือข่าย OSI ( OSI Architecture)
เพื่อให้การออกแบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นไปในมาตรฐานเดียวกันองค์กรมาตรฐานสากลอย่าง ISO
จึงได้กำหนดตัวแบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า OSI (Open System Interconnection)
ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้มีการติดต่อส่งข้อมูลในลักษณะระบบเปิด (Open Systems) ได้
ตัวแบบเครือข่ายแบบ OSI ซึ่งแบ่งระดับชั้นออกเป็น 7 ระดับชั้นดังนี้คือ1. ระดับชั้นฟิสิคัล (Physical layer)
2. ระดับชั้นดาต้าลิงก์ (Data link layer)
3. ระดับชั้นเน็ตเวิร์ก (Network layer)
4. ระดับชั้นทรานสปอร์ต (Transport layer)
5. ระดับชั้นเซสชัน (Session layer)
6. ระดับชั้นพรีเซนเตชัน (Presentation layer)
7. ระดับชั้นแอปพลิเคชัน (Application layer)
สถาปัตยกรรมเครือข่าย TCP/IP (TCP/IP Architecture)
TCP/IP เริ่มมาจากการศึกษาวิจัยที่ได้รับทุนสนับสนุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐเมริกา
(DoD,U.S.DepartmentofDefense) โดยช่วงแรกมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง
มหาวิทยาลัยต่างๆตลอดจนหน่วยงานของรัฐโดยการใช้สายเช่าโทรศัพท์ในการเชื่อมโยงของ
เครือข่ายและให้บริการส่งข้อมูลซึ่งเป็นการให้บริการแบบ Connection-oriented และเรียกเครือข่ายนี้ว่า
อาร์พาเน็ต (ARPANET) ต่อมาเมื่อมีการขยายเครือข่ายใช้งานกันแพร่หลายมากขึ้น ทำให้มีความจำเป็น
ในการกำหนดเป็นสถาปัตยกรรมเครือข่าย เพื่อให้สามารถบริการส่งข้อมูลผ่าน เครือข่ายได้ทั้งแบบ
Connection-oriented และ Connectionless ซึ่งสถาปัตยกรรมนี้เรียกกันทั่วไป ว่า ตัวแบบ
TCP/IP (TCP/IP Reference Model) ตามโปรโตคอล TCP (Transmission Control Protocol)
ในระดับชั้นทรานสปอร์ตและโปรโตคอล IP(InternetProtocol) ในระดับชั้นเน็ตเวิร์กซึ่งเป็นโปรโตคอลสำคัญ
ของสถาปัตยกรรมเครือข่ายนี้ตัวแบบ TCP/IP เมื่อเปรียบเทียบกับตัว OSI ได้แสดงดังรูป
ในที่นี้จะอธิบายโดยสังเขปถึงเนื้อหาสาระของระดับชั้นต่าง ๆ ของตัวแบบนี้
แสดงตัวแบบ TCP/IP และตัวแบบ OSI
1. ระดับชั้นโฮสต์-ทู-เน็ตเวิร์ก (Host-to-network)
ในระดับชั้นนี้สาระสำคัญเพียงแต่ระบุว่าโฮสต์จะต้องติดต่อเข้ากับเครือข่ายโดยอาศัย โปรโตคอลอย่างใด
อย่างหนึ่งเพื่อที่จะส่งแพ็กเกตผ่านเครือข่ายไปได้ในการที่ตัวแบบ TCP/IP ไม่กำหนดโปรโตคอลที่ใช้ในการ
ติดต่อระหว่างโฮสต์กับเครือข่ายนั้น ทำให้ตัวแบบ TCP/IP
สามารถใช้งานได้ดีทั้งกับแลนและแวน แต่อย่างไรก็ตามมีผู้ออกแบบ
โปรโตคอลเพื่อใช้ในการส่งข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้เข้าสู่อินเทอร์เน็ต
เช่น โปรโตคอน SLIP (Serial Line IP) และโปรโตคอล PPP (Point-to-Point
Protocol) เป็นต้น
2. ระดับชั้นอินเทอร์เน็ต
สาระสำคัญของระดับชั้นอินเตอร์เน็ตนี้เป็นการหาเส้นทางส่งข้อมูล (routing)
ในการส่ง
ข้อมูลจากโฮสต์ต้นทางให้ถึงโฮสต์ปลายทางได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ซึ่งคล้ายกับสาระสำคัญ
ของระดับชั้นเน็ตเวิร์กของ ISO ในระดับชั้นนี้จะมีโปรโตคอลที่ถูกออกแบบมาให้บริการส่งข้อมูล
แบบ Connectionless โดยโฮสต์ต้นทางสามารถส่งแพ็กเกตข้อมูลเข้าไปในเครือข่ายใดๆได้แล้วโปรโตคอนนี้
จะส่งแพ็กเกตผ่านเครือข่ายต่างๆไปถึงปลายทางโดยที่แต่ละแพ็กเกตจะถูกส่งอย่างอิสระจากกันและกันกล่าวคือ
อาจจะผ่านเส้นทางแตกต่างกันและเมื่อไปถึงปลายทางอาจจะมีลำดับที่แตกต่างจาก
ตอนส่งก็ได้ ซึ่งก็ต้องเป็นหน้าที่ของระดับชั้นทรานสปอร์ต (
ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเครื่องโฮลต์ ) ในการควบคุมความผิดพลาด
ของการส่งข้อมูล
3. ระดับชั้นทรานสปอร์ต
ระดับชั้นทรานสปอร์ตของตัวแบบ TCP/IP ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่ควบคุมการส่ง ข้อมูลระหว่างโฮสต์
ปลายทางทั้งสอง ซึ่งก็คล้ายกับหน้าที่ของระดับชั้นทราน สปอร์ตของตัวแบบ ISO ในระดับชั้นทรานสปอร์ต
ของ TCP/IP มีโปรโตคอลที่ถูกใช้ 2 ตัว โปรโตคอลแรกคือ TCP ซึ่งให้บริการส่งข้อมูลเป็นแบบ Connection
oriented กล่าวคือควบคุมให้ฝั่งส่งและฝั่งส่งและฝั่งรับสามารถส่งข้อมูลแบบ Byte stream ผ่านเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตได้อย่างถูกต้อง โดยที่ TCP จะแบ่ง ข้อมูลที่ได้รับมาจาหระดับชั้นบนออกเป็นบล็อกที่เหมาะสม
กับการส่งผ่านเครือข่าย และส่งข้อมูลไปยังระดับชั้นอินเทอร์เน็ตส่วน TCP ปลายทางจะรวบรวมบล็อกข้อมูล
ที่ได้รับมาและส่งไบต์ ข้อมูลที่ถูกต้องให้แก่ระดับชั้นข้างบน หรับโปรโตคอลแบบที่สองคือ UDP
(UserDatagramProtocol) ซึ่งให้บริการส่งข้อมูลแบบ Connectionless โดนไม่เน้นความถูกต้องของลำดับ
ของข้อมูลโปรโตคอลนี้จะเหมาะสำหรับงานประยุกต์ที่ต้องการความเร็วของการส่งข้อมูลมากกว่าความถูกต้อง
ของข้อมูล เช่นการส่งข้อมูลเสียงหรือข้อมูลภาพเคลื่อนไหวนอกจากนั้นยังใช้สำหรับงานประยุกต์แบบถามตอบ
ข้อมูล (request-reply) และงานประยุกต์ที่ต้องการแพร่กระจายข้อมูลไปยัง ผู้ใช้หลายคนพร้อมกัน
แสดงตัวอย่างโปรโตคอลและเครือข่ายภายในตัวแบบ TCP/IP
4. ระดับชั้นแอปพลิเคชัน
ในระดับแอปพลิเคชันมีโปรโตคอลที่ผู้ใช้หรือโปรแกรมประยุกต์สามารถใช้บริการได้หลายชนิด เช่น
-Telnet ซึ่งเป็นโปรโตคอลสำหรับเทอร์มินัลเสมือนโดยทำให้ผู้ใช้สามารถใช้คอมพิวเตอร์ที่อยู่ไกลออกไป
และแสดงผลลัพธ์ของตนเองในการที่จะเข้าไปใช้งาน (login) เครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ไกลออกไปและแสดงผลลัพธ์
บนหน้าจอเครื่องตนเอง
- FTP (File Transfer Protocol) ซึ่งบริการส่งแฟ้มข้มูลจากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งอย่างมีประสิทธิภาพ
- SMTP(Simple Mail Transfer Protocol) ซึ่งใช้ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ผ่าน อินเทอร์เน็ต
- DNS (Domain Name System) ซึ่งช่วยเปลี่ยนชื่อของเครื่องโฮสต์ ( เช่น cs.yale.edu) ให้เป็นไอพีแอดเดรส
(IP address) ที่ใช้ในการส่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ต
- HTTP (HypirText Transfer Protocol) ซึ่งใช้ในการดึงข้อมูลจากเว็บไซต์บนเวิลด์ไวด์เว็บ เป็นต้น
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น